|
| |||
รหัสสินค้า | : s6-0589 | ||
ชื่อสินค้า | : พระนาคปรก ปางมารวิชัย ศิลปะศรีวิชัย ทองคำหนัก 23.16 กรัม ใต้ | ||
รายละเอียด | พระนาคปรก ปางมารวิชัย ศิลปะศรีวิชัย ทองคำหนัก 23.16 กรัม ใต้ฐานตอกโค๊ต กงจักร (ตราทหารบก) เลข 95 ไม่ทราบประวัติการสร้าง ค้นหายังไม่เจอครับ แต่รูปแบบสวยมากครับ สีทองออกส้มแดง น่าจะเก็บมานานครับ
พระพุทธรูปสำคัญในสมัยต่าง ๆ โดย ดร. ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ๑. พระพุทธรูปศิลา สมัยทวารวดี เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ชุดหนึ่ง มี จำนวน ๕ องค์ สร้างเป็นหินทรายสีขาว ๔ องค์ และอีก ๑ องค์เป็นหินทรายสีเขียว แต่เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระเมรุ จังหวัดนครปฐม โดยเชื่อว่า ๔ องค์แรก ซึ่งมีลักษณะและขนาด เดียวกันประดิษฐานในจระนำของซุ้มเรือนธาตุทั้ง ๔ ด้าน ส่วนองค์ที่ ๕ อาจอยู่ในวิหาร พระพุทธรูปทั้งหมดอยู่ในสภาพชำรุดแตกหัก เป็นชิ้นส่วน ได้มีการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ใน ภายหลัง และเคลื่อนย้ายไปประดิษฐานตาม ที่ต่างๆ คือ องค์ที่ ๑ ประดิษฐานอยู่ภายใน พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครปฐม เป็นองค์ที่ สมบูรณ์ที่สุด องค์ที่ ๒ ประดิษฐานที่บริเวณลานประทักษิณด้านทิศใต้ของพระปฐมเจดีย์ องค์ที่ ๓ จัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่ง ชาติพระนคร องค์ที่ ๔ จัดแสดงไว้ในพิพิธ-ภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และองค์ที่ ๕ ประดิษฐาน อยู่ในวิหารน้อย วัดหน้าพระเมรุ จังหวัด พระนครศรีอยุธยา พระ พุทธรูปศิลาทรายขาว หรือหินทรายสีขาวทั้ง ๔ องค์ เป็นปางทรงแสดงธรรม(วิตรรกมุทรา) ด้วยพระหัตถ์ขวา พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา ประทับนั่งห้อยพระบาท ทั้งท่านั่งและการครองผ้าได้รับอิทธิพลทางด้านรูปแบบมาจากศิลปะอินเดีย สมัยคุปตะและสมัยปาละ ส่วนลักษณะพระพักตร์สร้างเป็นแบบพื้นเมืองแล้ว ๒. พระพุทธรูปนาคปรก ปางมารวิชัย สมัยศรีวิชัย พระ พุทธรูปนาคปรกองค์นี้พบที่อำเภอ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันจัดแสดง ไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เป็น พระพุทธรูปสมัยศรีวิชัยตอนปลายที่มีอิทธิพล ของศิลปะขอมเข้ามาปะปนแล้ว พระพุทธ-รูปองค์นี้มีความสำคัญคือ ที่ฐานพระพุทธรูปมีจารึกที่กล่าวถึงผู้สร้างคือ เจ้าเมืองครหิ สร้างใน พ.ศ. ๑๗๒๖ สันนิษฐานว่า เมืองครหิคือ เมืองไชยาในปัจจุบัน ตามปกติพระพุทธรูป นาคปรกจะแสดงปางสมาธิ แต่พระพุทธรูป องค์นี้แสดงปางมารวิชัย ๓. พระพุทธรูปนาคปรก ศิลปะเขมร ที่พบในประเทศไทย สมัยนครวัด เป็นพระพุทธรูปนาคปรก สมัยนครวัด อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗ จัดแสดงใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร มีลักษณะสำคัญคือ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางสมาธิ ประทับนั่งบนขนดนาค ๓ ชั้น มีเศียรนาค ๗ เศียร พระพักตร์สี่เหลี่ยมถมึงทึง พระเนตรเปิด ทรงเทริดและกรองศอ อันเป็นรูปแบบที่นิยมในศิลปะนครวัด ๔. พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยมีที่สำคัญมากหลายองค์ ได้แก่ ๑. พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่ใน พระวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก เป็นพระพุทธรูปสำคัญ และมีความงามมากที่สุดองค์หนึ่งในงานประติมากรรมไทย สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยราวๆ ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ มีลักษณะเฉพาะของสกุลช่างสุโขทัยที่เรียกว่า หมวดพระพุทธชินราช คือ พระพักตร์รูปไข่ พระวรกายค่อนข้างอวบอ้วน นิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๔ ยาวเสมอกัน ๒. พระพุทธชินสีห์ ประดิษฐานอยู่ ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร เดิมประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก สมเด็จ- พระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ (ในรัชกาลที่ ๓) โปรดให้อัญเชิญลงมายังกรุงเทพมหานคร เป็นพระพุทธรูปซึ่งมีรูปลักษณะงดงาม สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในคราวเดียวกับพระพุทธชินราช ๓. พระศรีศากยมุนี ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร เดิมเป็นพระประธานในพระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญลงมายังกรุงเทพมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ พระศรีศากยมุนีจัดเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่มากที่สุดองค์หนึ่ง และเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยรุ่นเดียวกับพระพุทธชินราช คงสร้างขึ้นในสมัยที่อาณาจักรสุโขทัยรุ่งเรืองสูงสุดในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ๔. พระสุโขทัยไตรมิตร ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดไตรมิตรวิทยาราม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นพระพุทธรูปปางมาร-วิชัย หน้าตักกว้าง ๓.๑๐ เมตร สูง ๓.๗๗ เมตร หล่อด้วยทองคำ ที่เรียกว่า ทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขา จัดเป็นเนื้อทองค่อนข้างบริสุทธิ์ เดิม พระพุทธรูปองค์นี้มีปูนหุ้มอยู่ทั่วทั้งองค์ และประดิษฐานอยู่ที่วัดโชตินาราม หรือวัดพระยาไกร มาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้มีการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปองค์นี้ไปไว้ที่ข้างพระเจดีย์ในวัดสามจีน ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า วัดไตรมิตรวิทยา-ราม ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๙๘ จึงได้มีการสร้างพระวิหารหลังใหม่เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นี้ ปรากฏว่า ในการเคลื่อนย้าย ปูนที่หุ้มองค์พระได้กะเทาะออก ทำให้เห็นว่า มีพระพุทธรูปองค์ในที่เป็นเนื้อทองคำทั้งองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามพระพุทธรูปองค์นี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่าพระพุทธมหาสุวรรณฏิมากร ลักษณะ ศิลปกรรมของพระสุโขทัยไตรมิตรจัดเป็นพระพุทธรูปสุโขทัยในหมวดใหญ่ พระพักตร์รูปไข่ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก ชายสังฆาฏิเป็นเส้นเล็กยาวลงมา จรดพระนาภี ปลายคล้ายเขี้ยวตะขาบ พระพุทธรูปสุโขทัยหมวดใหญ่นิยมสร้างในราวๆกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ถึงกลางพุทธศต-วรรษที่ ๒๐ ตั้งแต่สมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) เป็นต้นมา สำหรับพระสุโขทัยไตรมิตร นี้มีลักษณะที่สามารถเปรียบเทียบได้กับกลุ่มพระพุทธรูปที่มีจารึกที่ฐาน เช่น พระพุทธรูป ทองโบราณ วัดหงส์รัตนาราม กรุงเทพมหา- นคร ระบุศักราชที่สร้างคือ ๑๙๖๓ ดังนั้น พระสุโขทัยไตรมิตรจึงน่าจะสร้างขึ้นในราวๆกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ การ ที่พระสุโขทัยไตรมิตรมาประดิษ-ฐานยังกรุงเทพมหานครนั้น คงเกิดขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา-โลกมหาราช ซึ่งได้โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธรูปจากหัวเมืองเหนือมาไว้ยังกรุงเทพ-มหานครเป็นจำนวนมาก และได้โปรดเกล้าฯให้นำไปประดิษฐานยังวัดต่างๆที่สร้างขึ้นใหม่ พระสุโขทัยไตรมิตรคงได้รับการอัญเชิญมาในคราวเดียวกันนี้ และนำมาประดิษฐานยังวัดโชตินารามที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๓ ดังกล่าวแล้วข้างต้น ส่วนการพอกปูนหุ้มทับองค์พระ- พุทธรูปนั้น น่าจะเป็นการป้องกันอันตรายใน ภาวะสงครามคราวใดคราวหนึ่ง ๕. พระพุทธรูปลีลา สมัยสุโขทัย ประดิษฐานที่พระระเบียงวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร มีอายุราวๆกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พระ พุทธรูปลีลาถือเป็นประติมากรรมที่งามที่สุดแบบหนึ่งในศิลปกรรมไทย และเป็นรูปแบบที่เชื่อว่า ช่างไทยได้ประดิษฐ์ขึ้นเอง เพราะพระพุทธรูปลีลาลอยตัวไม่ปรากฏ ในศิลปะของชนชาติอื่นๆ ความเป็นมาของ พระพุทธรูปลีลานั้น น่าจะมาจากพระพุทธรูปปางเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภายหลังการเสด็จขึ้นไปเทศนาโปรดพระพุทธมารดา โดยเป็นตอนที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงพระ-ดำเนินลงมาตามบันได ๕. พระพุทธรูปสมัยล้านนา ที่สำคัญ ได้แก่ พระเจ้าเก้าตื้อ และ พระเจ้าแข้งคม ๑. พระเจ้าเก้าตื้อ ประดิษฐานในวิหารพระเจ้าเก้าตื้อ วัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งพระเมืองแก้ว (กษัตริย์ล้านนา พ.ศ. ๒๐๓๘ - ๒๐๖๘) โปรดให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๐๔๗ แล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๐๕๓ จัดเป็นพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ล้านนาที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่ใหญ่ที่สุด หน้าตักกว้าง ๒.๙๐ เมตร สูง ๓.๘๙ เมตร เป็นพระพุทธรูปในกลุ่มที่มีอิทธิพลพระพุทธรูปหมวดใหญ่ในศิลปะสุโขทัย คือ ประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานหน้ากระ-ดานเกลี้ยง พระพักตร์รูปไข่ พระรัศมีเป็นเปลว แต่สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ยาวลงมาจรดพระนาภี ซึ่งเป็นลักษณะอิทธิพลของศิลปะอยุธยาแล้ว ๒. พระเจ้าแข้งคม ประดิษฐานที่วัดศรีเกิด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มากองค์หนึ่งของล้านนา (หน้าตักกว้าง ๒.๓๒ เมตร สูง ๓.๖๕ เมตร) ตามประวัติกล่าวว่า สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๐ โดยพระเจ้าติโลกราชโปรดให้หล่อขึ้น ลักษณะของพระพุทธรูปแข้งคมมีความแตกต่างจากแบบแผนของศิลปะล้านนาที่มีมาแต่ เดิมอย่างเห็นได้ชัดคือ พระชงฆ์เป็นสัน (แข้งคม) พระพักตร์สี่เหลี่ยม พระเนตรโปน พระโอษฐ์หนา ขอบพระโอษฐ์ซ้อนกัน ๒ เส้น มีไรพระศก ขมวดพระเกศาเป็นเม็ดเล็ก พระ-รัศมีเป็นเปลวสูง สังฆาฏิเป็นแผ่นขนาดใหญ่ยาวลงมาจรดพระนาภี ปลายเป็นริ้วพับซ้อนกัน พระหัตถ์ขวาวางอยู่กึ่งกลางพระชงฆ์ นิ้วพระ-หัตถ์ยาวไม่เสมอกัน ลักษณะดังกล่าวนี้สามารถ เปรียบเทียบได้กับพระพุทธรูปแบบอู่ทองรุ่นที่ ๒ ที่มีอิทธิพลของศิลปะเขมรแบบบายน ๖. พระพุทธรูปแบบอู่ทอง (ศิลปะก่อนอยุธยา) พระพุทธรูปแบบอู่ทอง (ศิลปะก่อนอยุธยา) ที่ สำคัญ ได้แก่ พระพุทธไตรรัตนนายก ประดิษฐานที่พระวิหารหลวง วัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธา เรียกว่า พระโต หลวงพ่อโต หรือ หลวงพ่อพนัญเชิง ชาวจีนเรียกว่า ซำปอกง ตามพระราชพงศาว-ดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ กล่าวว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๖๘ ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ๒๖ ปี เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง สูงประมาณ ๑๙ เมตร ลักษณะพระพุทธรูปจัดเป็นแบบอู่ทองรุ่นที่ ๒ มีลักษณะพระพักตร์สี่เหลี่ยมเคร่งขรึม ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว ๗. พระพุทธรูปสมัยอยุธยา พระพุทธรูปสมัยอยุธยา ที่สำคัญคือ ๑. พระมงคลบพิตร ประดิษฐานที่วิหาร วัดมงคลบพิตร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่จาก พุทธลักษณะ และการค้นพบพระพุทธรูปขนาด เล็กแบบเชียงแสนสิงห์หนึ่ง (ขัดสมาธิเพชร) บรรจุไว้ในพระอุระ แสดงให้เห็นถึงการรับอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยและศิลปะล้านนา แล้ว จึงเชื่อว่า พระมงคลบพิตรน่าจะสร้างขึ้น ในสมัยอยุธยาตอนต้น ประมาณพุทธศตวรรษ ที่ ๒๐ เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน สูง ๑๒.๔๕ เมตร ๒. พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ประดิษฐานในพระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุ จังหวัด พระนครศรีอยุธยา พระ พุทธรูปทรงเครื่องใหญ่นี้ได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยอยุธยาตอนปลาย สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในความหมายของปางทรมานพญามหาชมพู กษัตริย์ที่ถือพระองค์ว่าเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาล พระ-พุทธองค์จึงเนรมิตพระองค์ให้อยู่ในเครื่องทรงอย่างจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ กว่าพญามหาชมพู และทรงเทศนาโปรด จนกษัตริย์พระองค์นี้ ยอมผนวช และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ลักษณะ พระพุทธรูปแสดงให้เห็นถึงงานช่างในสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ฉาบด้วยปูนปั้น ลงรักปิดทอง ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และพระราชทานนามว่าพระพุทธนิมิตรวิชิตมารโพลี ศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ ๘. พระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ ๑. พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประดิษฐานอยู่ ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร พระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์นี้ พระบาท- สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้น ตามพระราชประเพณีนิยมที่เชื่อว่า มีมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา คือ การสร้างรูปบูรพมหา-กษัตริยาธิราชเจ้า พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้ สร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่อย่างพระ-มหาจักรพรรดิราชขึ้น ๒ องค์ เป็นพระพุทธรูปสำริดหุ้มด้วยทองคำ องค์หนึ่งจารึกพระนามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ถวายสมเด็จพระบรมอัยกา เพื่อใช้แทนพระนามเดิมว่า แผ่นดินต้น อีกพระองค์หนึ่งจารึกพระนามว่า พระพุทธเลิศหล้าสุลาลัย พระบรมชนกนาถ เพื่อใช้แทนพระนามที่เรียกมาแต่เดิมคือ แผ่นดินกลาง ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงเปลี่ยนเป็น พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ด้วยเหตุนี้ พระนามของพระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์ จึงกลายเป็นพระนามของรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ด้วยเหตุผลที่ไม่ประสงค์ให้เรียกพระนามรัชกาลที่ ๓ ว่า แผ่นดินปลาย พุทธ ลักษณะของพระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์ เหมือนกันคือ เป็นพระพุทธรูปยืน แสดงปางประทานอภัยทั้ง ๒ พระหัตถ์ (ห้ามสมุทร) ทรงเครื่องใหญ่อย่างพระมหาจักรพรรดิราชซึ่งมีมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยาตอน ปลาย แต่ ได้เพิ่มเครื่องทรงให้มากขึ้นกว่าเดิม เช่น กรรเจียกจร กระหนกเหนือพระอังสา และเพิ่มชั้นของชายไหวชายแครง ลักษณะสำคัญคือ พระพักตร์แบบหุ่นที่เป็นลักษณะเฉพาะของพระ- พุทธรูปในรัชกาลที่ ๓ ๒. พระพุทธไตรรัตนนายก ประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารหลวง วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพมหานคร เดิมเรียกว่า พระโต หรือ หลวงพ่อโต ชาวจีนเรียกว่าซำปอกง หรือ ซำปอฮุดกง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถวายพระนามว่า พระพุทธไตรรัตนนายก เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศที่ดินสร้างวัดกัลยาณมิตร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินช่วยสร้างพระวิหารหลวง และพระพุทธรูปประธาน พร้อมทั้งเสด็จพระราชดำเนินทรงก่อพระฤกษ์ พระโตสร้างแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๓๘๐ การสร้างพระโตซึ่งถือเป็นพระพุทธรูป ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีที่มาจาก พระราชประสงค์สำคัญของรัชกาลที่ ๓ ซึ่งต้องการให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา ดังนั้น การสร้างพระโต องค์นี้จึงน่าจะมีแรงบันดาลใจมาจากพระโต ที่วัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลักษณะของพระโตเป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง ปางมารวิชัย พระพักตร์แบบหุ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะของประติมากรรมในรัชกาลที่ ๓ ๓. พระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ ประดิษฐานบริเวณพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นพระพุทธรูปลีลาขนาดใหญ่ หล่อด้วยทองสำริดหนัก ๑๗,๕๔๓ กิโลกรัม โดยแบ่งหล่อเป็นชิ้นต่างๆขององค์พระ รวม ๑๓๗ ชิ้น แล้วจึงนำไปประกอบกับโครงเหล็กบนฐานพระพุทธรูป เพื่อเชื่อมรอยต่อ และปรับแต่งให้เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นพระพุทธ-รูปสูง ๑๕.๘๗๕ เมตร ถือเป็นพระพุทธรูปลีลา หล่อด้วยทองสำริดที่มีลักษณะงดงาม และมีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง เพื่อเป็นพระประธาน ของพุทธมณฑล พระพุทธรูปองค์นี้ออกแบบโดยศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ประติมากร ชาวอิตาลี ที่เข้ามารับราชการในประเทศไทย และนายสาโรจ จารักษ์ จากกรมศิลปากร เป็นผู้ควบคุมการปั้นและขยายแบบ ได้หล่อขึ้นแล้วเสร็จ และนำขึ้นประดิษฐานใน พ.ศ. ๒๕๒๕ พุทธลักษณะของพระพุทธรูปองค์นี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากพระพุทธรูปลีลาสมัยสุโขทัย โดยมีส่วนที่เพิ่มเติมเข้าไป และถือ เป็นงานประติมากรรมร่วมสมัย คือ การครอง จีวรที่มีริ้วแบบเหมือนจริง
ปางมารวิชัย มารวิชัย (มาระวิชัย) หรือ ชนะมาร หรือ สะดุ้งมาร เป็น พระพุทธรูปปางหนึ่ง อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงที่พระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณีในคราวที่พระองค์ทรงเอาชนะมารได้ ประวัติ พระ บรมโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าก่อนบรรลุธรรม) ได้เสด็จไปประทับใต้ต้นมหาโพธิ์ในเวลาเย็น และนั่งสมาธิกำหนดจิตเจริญสมาธิภาวนา เพื่อการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ แต่จิตของพระองค์ แทนที่จะคิดไปในทาง โลกุตตรธรรม กลับหันไปคิดถึง โลกิยสุข แต่เมื่อครั้งอยู่ครองเรือน ในหนหลัง และผู้แต่งปฐมสมโพธิกถา ได้แสดงการผจญในโลกิยสุขของพระบรมโพธิสัตว์โดยใช้การผจญของมารเป็นสัญ ญลักษณ์ ดังนี้ว่าเป็น พระยาวัสสวดีมารซึ่งคอยติดตามพระองค์อยู่ จึงเข้าขัดขวาง โดยขี่ช้างคิรีเมขละ นำเหล่าเสนามารจำนวนมากเข้ามารบกวน หวังให้พระองค์เกรงกลัวจะได้ลุกขึ้นเสด็จหนีไป แต่พระองค์ก็ยังประทับนิ่งเป็นปกติโดยมิได้ทรงหวั่นไหว พระยามารจึงโกรธมาก สั่งให้เสนามารกลุ้มรุมกันประหารพระองค์ พระองค์จึงทรงนึกถึงบารมี 30 ทัศ ที่ทรงบำเพ็ญสั่งสมมาทุกชาติ โดยขอให้นางแม่พระธรณีเป็นพยาน แม่พระธรณีจึงผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วบิดมวยผมจนน้ำท่วม กระแสน้ำก็พัดพาพวกเสนามารไปหมดสิ้น พระยาวัสสวดีมารจึงยอมแพ้หนีไป ปางพระพุทธรูป จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ปางพระพุทธรูป คือ ลักษณะของรูปสมมุติของพระพุทธเจ้าในอิริยาบถต่าง ๆ ซึ่งสร้างขึ้นตามความเชื่อในพุทธประวัติ โดยช่างสมัยโยนก (คันธารราฐ) ราชวงศ์คุปตะ (พ.ศ. 863-1023) เป็นชาวกรีกพวกแรกที่กำหนดรูปแบบปางพระพุทธรูป ต่อมาช่างชาวอินเดียฝ่ายใต้ ซึ่งเป็นชาวกลิงคราฐข้างฝ่ายใต้ รวมทั้งในยุคสมัยต่าง ๆ ในภายหลังได้คิดปางพระพุทธรูปเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก
ลำดับยุคสมัยของการเกิดปางพระพุทธรูป
ปางต่างๆ ของพระพุทธรูป
|